24 พฤศจิกายน 2551

สิ่งที่ดีที่สุด


ทุกชีวิตที่เกิดมา ไม่ว่าจะมาจากที่ใด ไม่ว่าจะ เป็นและอยู่อย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญชาตญาณติดตัวมา เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา

ป้องกันการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ นั่นคือการเลือก "สิ่งที่ดีที่สุด" ให้กับชีวิต

แต่สิ่งที่ดีที่สุดนั้น...ไม่ได้มีเครื่องวัดเป็นบรรทัดฐาน

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบางคน...อาจเป็นสิ่งธรรมดาของบางคน

สิ่งที่ดีที่สุด...อาจดีที่สุดสำหรับช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับอีกช่วงเวลา

สิ่งที่เท่าเทียมกันของความเป็นสิ่งมีชีวิต นั่นคือได้มีสิทธิ์ ที่จะเลือก...

แต่สิทธินั้นอาจจะถูกนำมาใช้ได้ไม่เต็มที่ เพียงเพราะมีข้อจำกัด...บางประการ

ข้อจำกัด คือตัวการริดรอนเสรีภาพอย่างแท้จริง สิ่งที่ดีที่สุดที่เลือก...

จึงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมด้วย

บางทีสิ่งที่ดีที่สุด...อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่เลือก

บางทีสิ่งที่ดีที่สุด...อาจจะเป็นสิ่งที่จะดีที่สุดแค่เพียงได้ เฝ้ามอง

บางทีสิ่งที่ดีที่สุด...อาจจะมีที่อยู่ที่เหมาะสมคือ "ความทรงจำ" หรือ

บางทีสิ่งที่ดีสุด...อาจจะไม่มีอยู่จริง แต่ไม่ว่าเราจะสามารถเลือกได้หรือไม่ก็ตาม

ขอเพียงแค่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่ดีที่สุดนั้น...

ก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในใจเราเสมอ

ไม่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดนั้น...จะเป็นและอยู่ตรงนี้ หรือตรงไหน

จะอยู่ใกล้หรือไกล จะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน

คุณค่าของสิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง...

และไม่ว่าเราจะได้ครอบครองในสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่ก็ตาม

ขอแค่รู้สึก...ให้ดีที่สุด...กับสิ่งที่ดีที่สุดในใจ...ก็พอ

22 พฤศจิกายน 2551

" ครูๆหลบบ้านแล้วเน๊าะ" คำพูดทิ้งท้ายของเด็กชายชั้นป.3 ที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ

ผ่านไป 2 สัปดาห์กับการฝึกสอน ยังจำได้ว่า ...
วันแรกที่ไปสอน ...ตอนเย็นสอนเสร็จเดินมาเอารถที่โรงจอดเพื่อจะกลับมาเรียน ก็มีเด็กผู้ชายชั้นป.3 คนนึง เดินออกมาจากห้องแล้วพูดว่า

"ครู ๆ หลบบ้านแล้วเน๊าะ ?.. "
"คับ ครูกลับแล้ว ต้องรีบกลับไปเรียน "
"แล้วต่อเช้ามาหล่าวม่าย"
"มาคับ มาทุกวันเลย "
เมื่อการสนทนาจบลง ฉันก็ขับรถออกจากโรงรถ แต่เด็กชายคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาได้ตะโกนเรียกฉันอีกครั้ง "ครูๆ บ๊าย บาย " พร้อมกับโบกมือลาและรอยยิ้มพิมพ์ใจ ด้วยท่าที วาจา และสำเนียงที่ฟังดูเหน่อๆ ฉันก็อดที่จะขำเขาไม่ได้ ฉันขับรถออกจากโรงเรียนมาได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ระหว่างทางยังคิดถึงเด็กชายคนนั้น คิดถึงคำพูดของเขาและมันจะดังก้องอยู่ในหัวใจของฉันไปอีกนาน...
" ครู ๆ หลบบ้านแล้วเน๊าะ "
เด็กชายคนนั้นจะรู้รึเปล่านะว่าคำว่า "ครู" ที่เขาเรียกฉัน ในความรู้สึกฉันมันยิ่งใหญ่และมีค่าขนาดไหน
ฉันบอกตัวเอง ...วันนี้ฉันเป็นครูของเขา แม้จะเป็นแค่ครูฝึกสอน แต่ฉันก็ได้สัมผัสกับอะไรบางอย่าง ที่มีผลต่อความรู้สึก ความคิด การปฏิบัติ และการให้คุณค่าของการเป็นครู แต่ฉันยังไม่พร้อมที่จะอธิบายในเวลานี้ เพราะต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ แล้วสักวันคงจะได้รู้กัน .... (ฉันจึงมาหาความหมาย)
พูดกับตัวเอง ....วันนี้ฉันเป็นครูของเด็กๆที่นี้ ที่วัดสามกอง แล้ววันหน้าหล่ะ วันที่ฉันเรียนจบ ฉันยังจะได้เป็นครูของเด็กๆ อีกรึเปล่านะ ? เป็นคำถามที่ต้องเฝ้ารอคำตอบ ...และฉันก็จะพยายามทำให้คำตอบที่ฉันต้องการเป็นจริงให้ได้ ... ครูเปิ้ล

15 พฤศจิกายน 2551

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วัน

เมื่อตะกี๊บังเอิญไปอ่านเจอบทความเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วสะกิดใจดี เลยขออนุญาต(อย่างไม่เป็นทางการ ) นำมาเผยแพร่ต่อ ...อิอิ
"เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วัน"
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวณในเชิงตัวเลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย คิดแบบนี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ เพราะนี่คือวันเสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน วันเสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!! เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมจะเป็นอะไรดี บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเองเหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ ผมแน่ งอนการกุศล ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!! และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ ตายได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้รีบทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ เคยสงสัยมั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่าง และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตายวันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว ทำในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักผม ไม่สนว้อย...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล คนข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา ปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็ ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น แรงบันดาลใจที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ เดี๋ยวตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!
อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างค่ะ ...

14 พฤศจิกายน 2551

เรื่องเล่า...จากโรงเรียน (วัดสามกอง)

ผ่านไป 1 สัปดาห์ ของการเป็นครูฝึกสอน ณ โรงเรียนวัดสามกอง โรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลเกาะแต้ว อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา วันแรกที่เข้าไปโรงเรียนจำได้ว่า ทุกสายตาทั้งของครูและนักเรียนต่างจับจ้องมองมายังฉันและเพื่อนนักศึกษาอีกสองคนในฐานะคนแปลกหน้า เขาคงสงสัยว่าสาวๆ พวกนี้มาทำอะไรกัน
แปดโมงเช้าถึงเวลาเข้าแถว เราก็ไปยืนเข้าแถวกับนักเรียน และถูกเชิญให้ไปยืนหน้าเสาธงเพื่อแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน และมาทำอะไรที่นี่ " สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวศุภลักษณ์ เพชรรัตน์ ชื่อเล่น เปิ้ลค่ะ กำลังศึกษาระดับประกาศนีบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มาฝึกสอนที่นี้เป็นเวลา 1 ภาคเรียนค่ะ ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสอนวิชาสังคมศึกษา ระดับชั้น ป. 5 - 6 สุขศึกษา ชั้น ป. 4-5-6 และช่วยสอนคอมพิวเตอร์ ชั้น ป. 4-5-6 ค่ะ ขอบคุณค่ะ หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จแล้ว ครูผู้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ก็บอกให้นักเรียนทุกคนทำความเคารพ และขอให้นักเรียนได้ปฏิบัติตัวต่อครูฝึกสอนเหมือนๆกับที่ปฎิบัติกับครูประจำการ และห้าม "จับเล่น" กับครูเหมือนที่ทำอยู่ ...
รู้สึกดีนะที่เขาให้เกียรติเรา บรรยากาศที่นั่นดูอบอุ่น ครูประจำการหลายคนเข้ามาพูดคุย และให้ความเป็นกันเอง เด็กๆ ก็น่ารัก โดยเฉพาะนักเรียนชั้น ป.1 ป.2 เขาจะเข้ามาไหว้คุณครูด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มปนเขินอาย ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเค้าอายอะไร อาจจะอายที่ฟันหลอก็ได้มั้ง ...อิอิอิ รอยยิ้มพิมพ์ใจของเด็กๆเหล่านั้นจึงกลายเป็นความประทับใจของฉัน ที่นึกถึงทีไรก็ทำให้ฉันยิ้มได้อย่างเป็นสุขใจ ฉันเริ่มหลงรักเด็กที่นี่แล้วหล่ะ ...

13 พฤศจิกายน 2551

"หิ่งห้อย"


เมื่อคืนเพื่อนรักโทรมาหา และฉันก็ได้เล่าเรื่องงี่เง่าของตัวเองให้มันฟัง
มันหัวเราะฉันซะยกใหญ่ เพราะไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะตกม้าตาย ทุกครั้งที่เพื่อนมีปัญหา
ก็มักจะเลือกฉันเป็นที่ปรึกษาและให้คำปรึกษาได้ดีเป็นที่ยอมรับ(เพื่อนมันบอกอย่างนั้น)
แต่ทำไมนะ พอฉันมีเรื่องมีปัญหาบ้าง ฉันกลับคิดเองไม่ได้ เหอๆ
ไม่ใช่คิดไม่ได้ซิ ต้องพูดว่า คิดได้ แต่ คิดไม่ถูกต่างหาก
ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาในการใช้ภาษาซะแล้ว
เค้าบอกอย่างนี้ ฉันแปลไปเป็นอีกอย่าง บ้าไปแล้วเรา คิดมากไปแล้ว
แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเพื่อนรักมากที่เป็นเหมือน "หิ่งห้อย"
ส่องแสงให้ความสว่างในยามที่ฉันมืดมน
แม้หิ่งห้อยมันจะด้อยแสงหากเทียบกับแสงของจันทรา
แต่ในยามที่มืดมิดเช่นนี้ แสงจากหิ่งห้อยนี่หล่ะที่ทำให้ฉันได้มองเห็นทาง
ได้ตาสว่างเสียที ...
(ขอบใจนะเจ้าหิ่งห้อย)




เต็มใจให้



เต็มใจให้ - ศุ บุญเลี้ยง


ฉันรู้ควรรักเธออย่างไร เพราะรู้ความจริงเป็นเช่นไร

ฉันรัก รักเธอเพราะใจอยากให้ ใช่รักเพียงเพื่อครอบครอง

ไม่เคยร้องขอรัก ตอบ ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด

เพียงเธอรับรู้มีฉันคอยห่วงใย สิ่งนั้นมัน มากมายเกินพอ

ขอเพียงแค่คิดถึง แค่นี้ก็สุขใจ

แม้เธออยู่ไกลแสนไกล แม้ใครอยู่ ข้างเธอ

ฉันรู้ควรรักเธออย่างไร จึงยอมเข้าใจทุกอย่าง

ไม่ช้ำ ไม่เสียใจ ไม่เคยบาดหมาง ทุกอย่างเต็มใจให้เธอ

ไม่ช้ำไม่เสียใจไม่เคยบาดหมาง ทุกอย่างเต็มใจให้เธอ


ขอมอบบทเพลงนี้แด่ " พี่ชายที่แสนดี "

เราจะเป็นพี่เป็นน้องที่มีความรู้สึกดีดีต่อกันอย่างนี้ตลอดไป

หวังดีเสมอ ...Porple

08 พฤศจิกายน 2551

อดีต...

อดีต...เป็นเพียงภาพความทรงจำที่แสนหวาน

แต่ฉันก็มักนำเอาเรื่องราวในอดีตติดตัวไปด้วยเสมอ

เพราะ...ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น

มันทำให้ฉันสุขใจ ...

เพื่อนบอกว่า "ฉันบ้า" แต่ฉันก็ยอมบ้า

ถ้า...หัวใจของฉันได้พองโต

แม้วันนี้จะไม่ใช่ฉันที่ได้เดินเคียงข้างเธอ

แต่ฉันก็ภูมิใจ ที่อย่างน้อย

ครั้งหนึ่งเราก็ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

และเธอทำให้ฉันมีความทรงจำที่ดีดี

ขอบคุณนะ ...คนตัวเล็ก

PORPLE

PORPLE
Hi 5