18 มิถุนายน 2552

มันคือความรู้สึก ...รักเคยดีกว่านี้

รักที่เคยจริงจัง แล้วก็พลันเจือจาง
เหมือนมันมีช่องว่าง ระหว่างเรา
ไม่เหลือคนที่ศรัทธา
เหลือเพียงคนแปลกหน้า
และบางอย่างในจิตใจ
ความผูกพันสุดท้ายคือความกดดัน
ที่ทำให้ฉันนั้นไม่เข้าใจ และไม่แน่ใจ
อะไรที่ใฝ่ที่ฝัน ก็เหมือนว่ามันกำลังจะหายไป
รักเคยดีกว่านี้ รักที่เคยเข้าใจ
ห่วงใย ไม่รู้สึกเหมือนอย่างเคย
เหลือเพียงความอ้างว้าง
และบางอย่างที่ค้างคาใจ
ว่าที่แล้วมานั้นคืออะไร
ฝืนและทนทำใจ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า
ความรักจะไม่มีค่าไปกว่านี้
เมื่อทุกๆ วันที่มี ไม่ได้เป็นอย่างฝัน
และบางอย่างย้ำเตือนว่า
รักเคยดีกว่านี้ รักที่เคยเข้าใจ ห่วงใย
ไม่รู้สึกเหมือนอย่างเคย
เหลือเพียงความอ้างว้าง
และบางอย่างที่ค้างคาใจ
ว่าที่แล้วมานั้นคืออะไร
ความผูกพันสุดท้ายคือความกดดัน
ที่ทำให้ฉันนั้นไม่เข้าใจ และไม่แน่ใจ
อะไรที่ใฝ่ที่ฝัน ก็เหมือนว่ามันกำลังจะหายไป
และฉัน ยากเกินมันยากเกินทำใจ
ก็ยังเสียดาย ย้อนคืนไม่ได้
มันไม่อาจเป็นอย่างความรักที่เคย
รักที่เคย มันไม่อาจเป็นอย่างความรักที่เคย
รักเคยดีกว่านี้ รักที่เคยเข้าใจ ห่วงใย
ไม่รู้สึกเหมือนอย่างเคย เหลือเพียงความอ้างว้าง
และบางอย่างที่ค้างคาใจ ว่าที่แล้วมานั้นคืออะไร

04 มิถุนายน 2552

ปิดหูปิดตาใช้ปัญญาคิด จะเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้


สิ่งที่เราอยากเห็นย่อมใช้ตาดูได้ สิ่งที่เราอยากได้ยินย่อมใช้หูฟังได้ แต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจสิ่งใด ต้องใช้ความคิดพิจารณา ตาหูช่วยให้เข้าใจไม่ได้ คาลิล ยิบราน ท่านบอกว่า "ถ้าอยากเห็นหุบเขา จงไต่ไปบนยอดเขา อยากเห็นยอดเขา จงขึ้นไปเหนือเมฆ แต่ถ้าต้องการเข้าใจเมฆ จงปิดตาลงแล้วคิด" ทุกอย่างที่เราได้เห็นได้ยิน อย่าคิดว่าเราจะต้องเข้าใจไปด้วยนะ มีหลายเรื่องที่เราเห็นและได้ยินบ่อยๆแต่เราก็ไม่เข้าใจ เพราะเราเห็นสักแต่ว่าเห็น ฟังสักแต่ว่าฟัง ไม่มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น ขาดการพิจารณาอย่างถ่องแท้ ท่านคาลิล ยิบราน จึงบอกให้ปิดตาลง แล้วหัดคิดเสียบ้าง อย่าเอาแต่ดูให้มากนัก เพราะยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งดูยิ่งห่างไกลความจริงไปเรื่อยๆ แต่การคิดในที่นี้ มิใช่การคิดตามหลักตรรกะ แต่เป็นการคิดแบบวิปัสสนา โดยใช้ปัญญามองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ตามความเป็นจริงของมัน การคิดอย่างนี้เมื่อคิดจนเห็นแล้ว จิตใจจะเกิดความเป็นอิสระเสรี จะไม่ยึดติดกับสิ่งที่เห็น หรือได้ยินทำให้ไม่เป็นทุกข์ แต่หากเราไม่ยอมคิดแบบวิปัสสนากันบ้าง เอาแต่ดูเอาแต่ฟัง เอาแต่อ่าน เอาแต่ท่อง จะคล่องปากอย่างไรก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เหมือนพระภิกษุที่เอาแต่อ่านคัมภีร์ เอาแต่ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติจนมีความรู้สูงๆ แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติตามธรรมเสียที ย่อมจะไม่ซาบซึ้งในธรรมได้ ถึงจะอธิบายได้เป็นคุ้งเป็นแคว ก็เป็นผลจากการจดจำ มิใช่ความเข้าใจ ความดื่มด่ำในรสพระธรรมย่อมจะมีไม่ได้เลย จึงไม่ได้รับประโยชน์อันเป็นความสุขสงบจากพระธรรม ชีวิตของเรา อย่ามัวเที่ยวหาอะไรต่อมิอะไรให้มันวุ่นวายไป อย่ามัวไปเที่ยวหาพระเกจิอาจารย์องค์นั้นองค์นี้อยู่เลย หาไปจนแก่ตายก็เข้าใจชีวิตไม่ได้ ชีวิตต้องเพ่งดูอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ชีวิตของเราใครจะช่วย นอกจากตัวเราเอง ตนต้องพึ่งตนเรื่อยไป พระสงฆ์องค์เจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนฤาช่วยได้? หากมัวแต่พึ่งท่าน ไม่คิดพึ่งตนเอง เราจะเติบโตไม่ได้เลย แต่กลับจะอ่อนแอลงๆ อย่างไร้แก่นสาร หยุดเสียเถิด ปิดตาลงเสียบ้าง ปิดหูลงเสียบ้าง แล้วอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ศึกษาตัวเองให้เข้าใจ ล้วงลงไปให้ทั่วถึงดวงใจดูซิว่า ทำไมเราจึงโลภ ทำไมจึงโกรธ ทำไมจึงหลงงมงาย พิจารณาดูเถิด! ชีวิตที่ดีดดิ้นไปวันหนึ่งๆนั้น มันเป็นอย่างไร? มีอะไรที่เป็นความก้าวหน้าบ้าง? มีอะไรดีขึ้นบ้าง? มีความสำเร็จอย่างไร? และที่ว่ามีความสำเร็จนั้น เราสำเร็จเรื่องอะไร? หากเรามีความสมบูรณ์ด้วยชีวิตภายนอก ก็อย่าลืมความสมบูรณ์แห่งชีวิตภายใน อันได้แก่จิตใจบ้าง เพราะจิตใจที่เป็นสุขสมบูรณเปี่ยมล้นด้วยธรรม จึงจะเป็นความสำเร็จอันสูงส่งของชีวิตที่แท้จริง
ที่มา : ปรัชญาน่าคิดของ คาลิล ยิบราน

PORPLE

PORPLE
Hi 5